7 สิทธิประโยชน์จากประกันสังคมสำหรับมนุษย์เงินเดือน
มนุษย์เงินเดือนอย่างคุณๆและผม ซึ่งต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมทุกๆเดือน เคยสงสัยมั้ยครับว่าเงินที่เราถูกหักไปทุกๆเดือนกับประกันสังคม จริงๆแล้วมีสิทธิประโยชน์อะไรบ้าง
แนวคิดของการประกันสังคม เป็นการร่วมกันเฉลี่ยทุกข์และสุข ระหว่าง ลูกจ้าง นายจ้าง และภาครัฐ โดยการมาสมทบเงินร่วมกัน แล้วนำไปลงทุนให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้น เพื่อนำเงินกองทุนดังกล่าวมาให้ความคุ้มครองกับลูกจ้างและครอบครัวในอนาคต
การประกันตนและจ่ายเงินสะสมกับกองทุนประกันสังคมนั้น แบ่งได้ตามกฏหมายใน 3 ลักษณะดังนี้
- การประกันตนภาคบังคับตามมาตรา 33 กำหนดให้มนุษย์เงินเดือนที่เป็นลูกจ้างบริษัทห้างร้านต่างๆต้องจ่ายเงินสมทบร้อยละ 5 ของเงินเดือน ทั้งนี้จำนวนเงินที่ใช้เป็นฐานเงินเดือนในการคำนวณเงินสมทบและผลประโยชน์ของผู้ประกันตนตามมาตรา 33 กำหนดไว้ไม่ต่ำกว่า 1,650 บาท แต่ต้องไม่เกิน 15,000 บาท
- การประกันตนโดยสมัครใจตามมาตรา 39 กำหนดให้คนที่เคยเป็นมนุษย์เงินเดือนและส่งเงินสมทบตามมาตรา 33 แต่ได้ออกจากงาน สามารถส่งเงินสมทบต่อด้วยตนเองในอัตรา 9% ของฐานเงินเดือนถูกกำหนดไว้ตายตัวเท่ากับ 4,800 บาทเท่านั้น คิดเป็นเงินที่นำส่งกองทุนประกันสังคมเดือนละ 432 บาท
- การประกันตนโดยสมัครใจตามมาตรา 40 กำหนดให้คนที่ทำงานเป็นฟรีแลนซ์ สามารถเข้าสู่ระบบประกันสังคมด้วยการจ่ายเงินสมทบเพียงเดือนละ 70 บาท, 100 บาท หรือ 300 บาท ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ที่ไม่เท่ากันในแต่ละทางเลือก
- กรณีคลอดบุตร ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่ส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนมีการคลอดบุตร สามารถเบิกได้ครั้งละไม่เกิน 15,000 บาท ไม่จำกัดจำนวนครั้ง
- กรณีสงเคราะห์บุตร ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่ส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน ภายในระยะเวลา 36 เดือนก่อนเดือนที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน จะได้รับเงินสงเคราะห์บุตรเดือนละ 800 บาท ต่อบุตร 1 คน แต่บุตรต้องมีอายุไม่เกิน 6 ปี และเบิกได้ครั้งละไม่เกิน 3 คน
- กรณีอันตรายหรือเจ็บป่วย ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่ส่งเงินสมทบมาไม่น้อยกว่า 3 เดือน ภายใน ระยะเวลา 15 เดือน ก่อนวันรับบริการทางการแพทย์ จะได้รับความคุ้มครอง โดยสามารถได้รับการรักษาพยาบาลจากโรงพยาบาลที่เลือกเองได้ฟรี และขอรับทดแทนอีก 50% ของเงินเดือน ครั้งละไม่เกิน 3 เดือน แต่ไม่เกิน 6 เดือนต่อปี เว้นแต่เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้เกิน 180 วัน แต่ไม่เกิน 365 วัน นอกจากนั้นยังสามารถขูดหินปูน อุดฟัน ถอนฟัน และผ่าฟันคุด ในวงเงินรวมไม่เกิน 900 บาท/ปี
- กรณีทุพพลภาพ ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่ส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนทุพพลภาพ จะได้รับสิทธิประโยชน์ดังนี้
- ค่ารักษาพยาบาลโรงพยาบาลเอกชน กรณีผู้ป่วยนอก เท่าที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินเดือนละ 2,000 บาท ส่วนกรณีผู้ป่วยใน เท่าที่จ่ายจริงไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท
- ค่ารักษาพยาบาล โรงพยาบาลรัฐบาล กรณีผู้ป่วยนอกเท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น ส่วนกรณีผู้ป่วยใน จ่ายตามกลุ่มวินิจฉัยโรค (DRG) ตามหลักเกณฑ์และอัตราที่คณะกรรมการการแพทย์กำหนด
- ค่าพาหนะรับส่ง เหมาจ่ายไม่เกินเดือนละ 500 บาท
- เงินทดแทนการขาดรายได้เป็นรายเดือน กรณีระดับความสูญเสียไม่รุนแรง ร้อยละ 30 ของค่าจ้างตามมาตรา 57 ตลอดระยะเวลาที่ไม่สามารถประกอบการงานได้แต่ไม่เกิน 180 เดือน ส่วนกรณีระดับความสูญเสียรุนแรง ร้อยละ 50 ของค่าจ้างตามมาตรา 57 เป็นรายเดือนตลอดชีวิต
- กรณีว่างงาน ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่มีการส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือนภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนการว่างงาน หากถูกเลิกจ้าง สามารถขอรับเงินเดือนจากประกันสังคมได้ครึ่งหนึ่ง แต่ไม่เกิน 6 เดือนต่อปี แต่ถ้าหากผู้ประกันตนลาออกจากงานหรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง ได้รับเงินทดแทนการว่างงานปีละไม่เกิน 90 วัน ในอัตราร้อยละ 30 ของค่าจ้างรายวัน กรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัย ไม่ว่าจะเป็น อัคคีภัย วาตภัย ธรณีพิบัติ ภัยธรรมชาติอื่นๆ การระบาดของโรคติดต่ออันตราย ซึ่งมีผลกระทบต่อสาธารณชน จะได้รับเงินทดแทนการว่างงานปีละไม่เกิน 90 วัน ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างรายวัน
- กรณีชราภาพ ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่เกษียณอายุ โดยมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ แต่ส่งเงินสมทบไม่ถึง 15 ปี จะได้รับบำเหน็จเท่ากับเงินที่สมทบบวกกับผลประโยชน์จากการลงทุน ส่วนผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่เกษียณอายุ โดยมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และส่งเงินสมทบตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป จะได้รับบำนาญเดือนละ 20% ของเงินเดือนเฉลี่ย 5 ปีสุดท้าย และบวกเพิ่มให้อีกเดือนละ 1.5% ของเงินเดือนเฉลี่ย 5 ปีสุดท้ายสำหรับทุกๆ 1 ปีเต็มที่ได้ส่งเงินสมทบเกินกว่า 15 ปี
- กรณีตาย ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่ส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 เดือน ภายในระยะเวลา 6 เดือนก่อนถึงแก่ความตาย จะได้รับค่าทำศพ 50,000 บาท ให้แก่ผู้จัดการศพ นอกจากนั้น หากผู้ประกันตนส่งเงินสมทบมาแล้ว ตั้งแต่ 36 เดือนขึ้นไปแต่ไม่ถึง 120 เดือน จะได้รับเงินสงเคราะห์แก่ทายาท เป็นจำนวน 4 เท่าของร้อยละ 50 ของค่าจ้าง และหากส่งเงินสมทบตั้งแต่ 120 เดือนขึ้นไป จะได้รับเงินเป็นจำนวน 12 เท่าของร้อยละ 50 ของค่าจ้าง
แต่สำหรับคนที่ต้องการทำความเข้าใจอย่างละเอียดครบถ้วนและถูกต้องตามตัวบทกฎหมายเกี่ยวกับการส่งเงินสมทบและสิทธิประโยชน์ต่างๆที่ผู้ประกันตนกับประกันสังคมพึงได้รับ ก็สามารถหาความรู้เพิ่มเติมได้ในภายหลังจาก คลิปอื่นๆทาง Youtube ของ ThaiPFA ที่จะขึ้นไว้ใน Comment ด้านล่าง หรืออาจศึกษาเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของสำนักงานประกันสังคม www.sso.go.th นอกจากนั้นสำหรับใครที่มีคำถามหรือมีประเด็นทางการเงินที่อยากให้นำมาเล่าสู่กันฟัง หรือต้องการปรึกษาปัญหาการวางแผนทางการเงิน บอกกันมาได้ที่ Comment ด้านล่างเช่นกันครับ
ThaiPFA ศูนย์อบรมต้นแบบ สู่เส้นทางคุณวุฒิวิชาชีพนักวางแผนการเงิน CFP มืออาชีพมาตรฐานสากล
Thai Professional Finance Academy (ThaiPFA)
ติดต่อ
086-666-0090 , 082-701-7077 , 087-063-3306
ขอบคุณทุกความไว้วางใจ ที่มีให้ ThaiPFA
#นักวางแผนการเงินCFP มาตรฐานสากลกับThaiPFA #เส้นทางสู่วิชาชีพนักวางแผนการเงินCFP มาตรฐานสากลโดยThaiPFA #ThaiPFA ศูนย์อบรมต้นแบบเพื่อความมั่งคั่งมั่นคงและยั่งยืน
E-mail: thaipfa@gmail.com
Website: www.thaipfa.co.th , www.thaipfaonline.com , www.allaboutfin.com
Social network: www.facebook.com/thaipfa
LINE: @thaipfa
Mobile: 086-666-0090 , 087-063-3306 ,082-701-7077